Pertinent Findings : Positive Findings
History
-
Age : 53 years old
-
Chronic progressivevisual loss of left eye
-
Limitation of daily activity
-
Past history of right eye cataract, treated by
sugery with intraocular lens
-
Family history of DM (patients mother)
Physical Exam
Visual acuity
|
Right 20/50-1
20/40
Left
20/400 20/100-1 |
-
Opaquesness at the center of lens of left eye
-
Poor red reflex on left eye
-
Inability to examine eye ground of left eye
-
Right eye pseudophakia
Problem List
Chronic progressive visual loss of left eye
Discussion : Chronic Progressive Visual Loss of Left Eye
เมื่อ 4 ปีก่อนมาโรงพยาบาล
ผู้ป่วยมีอาการตามัวลงมากขึ้นเรื่อย ๆ และปวดตามากเวลาโดนแสงแดดหรือเวลาเพ่งนาน
ๆ โดยไม่มีอาการผิดปกติอื่นใด ซึ่งจากประวัติดังกล่าว
เป็นประวัติที่เข้ากันได้กับโรคต้อกระจก โดยอาการปวดตาเวลาโดนแสงมาก ๆ นั้น
คิดว่า เกิดจากการที่เมื่อโดนแสงแดด ทำให้เกิดการหดตัวของม่านตา (Miosis)
ผ่าน pupillary light reflex
จึงส่งผลกระทบต่อการมองเห็นของผู้ป่วย ทำให้สามารถมองเห็นได้ลดลง
ซึ่งจะพบได้ชัดเจนในรายที่เป็น posterior subcapsular cataract
ซึ่งเป็นชนิดของ cataract
ที่พบได้บ่อยมากชนิดหนึ่ง ทำให้ผู้ป่วยต้องเพ่งตลอดเวลา ส่งผลให้เกิด eye
strain ขึ้นมา ดังนั้นอาการของผู้ป่วยจึงดีขึ้นเมื่อใส่แว่นกันแดด
เนื่องจากการใส่แว่นกันแดดจะทำให้ม่านตาขยายตัว (dilatation of pupil)
ทำให้ผู้ป่วยสามารถมองเห็นได้ชัดมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถช่วยได้มาก
แต่ผู้ป่วยก็จำเป็นต้องทน เนื่องจากปัญหาด้านเศรษฐานะ ที่ไม่สามารถ afford
ต่อค่าผ่าตัดได้ ซึ่งต่อมาผู้ป่วยมีโอกาสได้รับการผ่าตัดฟรี
ผ่านทางโครงการของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมถึงได้ใส่เลนส์เทียม
จึงทำให้ตาขวาของผู้ป่วยกลับมามองเห็นได้ชัดอีกครั้งหนึ่งโดยไม่ต้องใส่แว่น หรือ
เลนส์ชนิดสัมผัส ทำให้มี VA ได้ถึง 20/50-1
(correctable by pinhole to 20/40)
3 เดือน ก่อนมาโรงพยาบาล นั้น
ผู้ป่วยได้กลับมามีอาการตามัวอีกครั้งหนึ่ง โดยที่ไม่มีการผิดปกติอื่นใด
โดยผู้ป่วยให้ประวัติว่าได้ลองปิดตาทีละข้าง
แล้วพบว่าเมื่อปิดตาข้างขวาแล้วจะมองไม่ชัดมาก แต่เมื่อปิดข้างซ้ายแล้ว
จะมองได้ชัด ร่วมกับการตรวจร่างกาย
และประวัติที่ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดรักษาตาข้างขวาแล้ว
ทำให้เราคิดว่าน่าจะเกิดจากพยาธิสภาพของตาข้างซ้าย
ซึ่งสามารถวินิจฉัยแยกโรคได้ดังนี้
1. Cataract
คิดถึงมากที่สุดในผู้ป่วยรายนี้
เนื่องจากประวัติเข้ากันได้มาก คือ ได้แก่ การเห็นลดลงโดยไม่มีอาการเจ็บปวด
ไม่มีการอักเสบของตาร่วมด้วย
อาการอื่น ๆ ที่อาจพบได้ในผู้ป่วยต้อกระจก
แต่ไม่พบในผู้ป่วยรายนี้ ได้แก่ monocular diplopia
จากความขุ่นของเลนส์กระจายแสงที่เข้าสู่ตา, scotoma
, การมองเห็นลดลงในที่แสงจ้า และเห็นดีขึ้นในที่สลัว
ส่วนประวัติที่อาจพบได้
แต่ไม่ทราบในรายละเอียดในผู้ป่วยรายนี้ ได้แก่ การที่มี increased
refractive index ทั้งนี้เนื่องจากผู้ป่วยอ่านหนังสือไม่ออก
จึงไม่ได้อ่านหนังสือ ร่วมกับผู้ป่วยไม่ได้พบการเปลี่ยนแปลงของสายตาที่ชัดเจน
จากการตรวจร่างกายของตาข้างซ้าย
พบว่าผู้ป่วยมี visual acuity 20/400 (correctable by pinhole to 20/100-1)
บ่งบอกว่า ผู้ป่วยมีปัญหาเรื่อง refractive error
ด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งอาจจะเกิดจากผู้ป่วยมีสายตาสั้นอยู่แล้ว
หรืออาจจะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเลนส์ โดยเฉพาะในประเภท nuclear cataract
ซึ่งมีการเพิ่ม refractive index
ทำให้ผู้ป่วยมีสายตาสั้นเพิ่มจากปกติได้ แต่ทว่า แม้จะใช้ pin hole
ผู้ป่วยก็ยังคงมีสายตาที่ผิดปกติ (20/100-1)
ซึ่งน่าจะเกิดจากภาวะ opacity of lens
การตรวจต่อมา พบว่า lens
มีความขุ่นอย่างชัดเจน โดยพบการขุ่นเป็นบริเวณกว้างอยู่ตรงกลาง
ขนาดใหญ่ ร่วมกับพบว่ามี poor red reflex
ซึ่งแปลว่ามีความผิดปกติของ media ซึ่งเข้ากันได้กับภาวะ
cataract
ผู้ป่วยรายนี้ สามารถแบ่ง
classification ได้ ดังนี้
ตามอายุ
น่าจะเป็นประเภท age-related
cataract ซึ่งเป็นประเภทที่พบได้บ่อยที่สุด เนื่องจากผู้ป่วยมี
onset เข้าได้ คือ อยู่ระหว่าง 52-85 ปี
และน่าจะเป็น age-related cataract ชนิด
senile cataract
ตามตำแหน่งของความขุ่น
จากการตรวจ คิดว่าน่าจะมีส่วนของ
nuclear cataract เนื่องจากพบขุ่นบริเวณตรงกลาง
และมีขนาดใหญ่พอสมควร แต่ทว่าอาจจะมีการขุ่นของส่วนอื่นของ lens
ร่วมด้วย ซึ่งต้องอาศัยการตรวจเพิ่มเติมต่อไปเพื่อยืนยัน
ความมากน้อยของความขุ่น
น่าจะอยู่ในระยะ immature
cataract เนื่องจากพบเป็นโปรตีนขุ่นเพียงบางส่วน ส่วน
cortex ยังคงดูเป็นปกติ ไม่พบว่าเลนส์เหี่ยวหรือบวม
สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในต้อกระจก ที่สำคัญ
ได้แก่
ความมากน้อยของการเห็นที่ลดลง
ในผู้ป่วยรายนี้คิดว่า severity
of visual impairment ค่อนข้างมาก
เนื่องจากผู้ป่วยมีอุปสรรคในการดำเนินชีวิตประจำวัน ได้แก่การขายของ
โดยบ่นว่าหยิบของไม่ค่อยเห็น
โอกาสของการมองเห็นหลังทำการผ่าตัด
ในผู้ป่วยรายนี้ คิดว่าหลังการผ่าตัด
น่าจะสามารถที่จะกลับมามองเห็นได้เป็นปกติ เนื่องจากผู้ป่วยไม่พบมีโรคอื่น ๆ
ร่วมด้วย และจากประวัติ พบว่าผู้ป่วยเคยผ่าข้างขวาแล้ว
สามารถกลับมาเห็นได้เป็นปกติ
โรคของระบบอื่นๆ
ไม่พบ systemic disease
อื่น ๆ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการเกิดต้อกระจก เช่น เบาหวาน
ในผู้ป่วยรายนี้
โรคในตาอื่นๆ
ไม่พบในผู้ป่วยรายนี้
จากการซักประวัติ ไม่พบสาเหตุของต้อกระจก
เช่น ocular disease, trauma, systemic disease
ดังนั้นจึงคิดว่าสาเหตุในผู้ป่วยรายนี้น่าจะเป็น aging
ปัจจัยเสี่ยงของ age-related
cataract ที่พบในผู้ป่วยรายนี้ ได้แก่
-
อายุ ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด
-
เพศหญิง ซึ่งพบได้มากกว่าเพศชาย
-
ภูมิลำเนาอยู่ในประเทศกำลังพัฒนาเขตร้อน
Mechanism ของการเกิด cataract
ในผู้ป่วยรายนี้ น่าจะเกิดจาก protein denaturation
and aggregation มีการสร้าง insoluble protein
สู้งขึ้น มีการ oxidation of sulfhydryl group (from
protease) มีการสร้าง non disulfide covalent cross-links
with crystalline polypeptides และมี pigment
เกิดขึ้น
แม้ว่าจากประวัติและการตรวจร่างกาย
จะชัดเจนว่าเกิดจากต้อกระจก แต่อย่างไรก็ตาม ควรที่จะพิจารณาโรคอื่น ๆ
ที่ทำให้เกิด chronic visual loss ร่วมด้วย
เพื่อจะได้ไม่พลาดโรคที่สำคัญ ๆ ไป
2. Chronic Glaucoma
ภาวะนี้การดำเนินโรคจะเป็นไปอย่างช้า ๆ
ไม่มีอาการปวด ซึ่งมักมีอาการหลัก คือ ลานสายตาแคบลงเป็นหลัก โดยในระยะแรก
visual acuity จะปกติ (อาจมีการลดลงของ visual acuity
ได้ในระยะหลัง จากการที่ nerve fiber
ถูกทำลาย) จึงต้องพิจารณาในผู้ป่วยรายนี้ ว่า การที่ผู้ป่วยมองเห็นลดลงนั้น
เกิดจากการที่ลานสายตาของผู้ป่วยแคบ หรือว่าเกิดจากตามัวลง ซึ่งจากการตรวจร่างกาย
พบว่ามีการลดลงของ visual acuity อย่างชัดเจน ส่วน
confrontation visual field test นั้นเป็นปกติ
จึงน่าจะเป็นการมองไม่ชัดจากการลดลงของ visual acuity
มากกว่า
คิดถึงน้อย ในผู้ป่วยรายนี้ เนื่องจาก
พบว่าความดันตาของผู้ป่วยปกติ คือ 11 และ 14 มิลลิเมตรปรอท ที่ตาข้างขวา และ ซ้าย
ตามลำดับ และ confrontation visual field test เป็นปกติ
ถึงแม้ว่าอาการแสดงทั้งสองนี้จะปกติได้ในผู้ป่วยที่เป็น chronic glaucoma
แต่ก็ยังคิดถึงน้อยมาก เนื่องจากพบว่ามีสาเหตุอื่นชัดเจนมาก ส่วน cup:disk
ratio นั้นเป็นอาการแสดงที่สำคัญที่สุดของ chronic glaucoma
แต่ไม่สามารถตรวจได้เนื่องจาก lens oqacity
จึงอาจต้องตรวจโดยเครื่องมือพิเศษต่อไปในกรณีที่สงสัย
3. Age-Related Macular Degeneration (ARMD)
เป็นโรคประสาทตาเสื่อมในผู้สูงอายุ
ซึ่งจะมี hyaline nodules หรือ colloid bodies
เกาะอยู่ในชั้นของ Bruchs membrane (Drusen)
เป็นสิ่งสำคัญ ร่วมกับมี degenerative changes of retinal
pigment epithelium หรืออาจพบ choroidal neovascular
membrane ในระยะหลังได้
คิดถึงน้อยในผู้ป่วยรายนี้ เนื่องจาก
แม้ว่าอายุจะเข้าได้กับผู้ป่วย คือ มากกว่า 52 ปี และ visual acuity
จะเข้าได้กับผู้ป่วย คือ มากกว่า 20/200 แต่ทว่า visual
acuity สามารถแก้ได้โดย pinhole
ไม่พบมีประวัติของ metamorphosia, scotoma ร่วมกับจากการตรวจตาข้างขวา
พบว่า eyeground เป็นปกติ (ARMD
เป็นโรคของทั้งสองตา) จึงยิ่งคิดถึง ARMD
ในผู้ป่วยรายนี้น้อยลงไป อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยรายนี้อาจจะมีภาวะนี้ร่วมด้วยก็ได้
จึงต้องอาศัยการดู eye ground ต่อไป
4. Diabetic Retinopathy
เป็นสาเหตุของ chronic visual loss
ที่สำคัญมาก แต่คิดถึงน้อยในผู้ป่วยรายนี้
เนื่องจากไม่พบประวัติการเป็นเบาหวาน แต่อย่างไรก็ตาม
ถ้าสงสัยอาจจะต้องทำการเจาะเลือดเพื่อตรวจหาต่อไป
5. Brain Tumor
อาจจะทำให้เกิดภาวะของ chronic
visual loss ได้ ถ้าเกิดเนื้องอกนั้น involve
ไปยัง visual pathway เช่น
parietal lobe, visual cortex
แต่ทว่าจากการตรวจร่างกายไม่พบความผิดปกติอื่น ๆ ทางระบบประสาท
ร่วมกับจากลักษณะของ visual loss แล้ว ถ้าเกิดจาก
brain tumor น่าที่จะเสียแบบ bilateral hemianopia
ข้างเดียวกัน ซึ่งถ้าจะเกิด visual loss
ของตาข้างเดียว จะเกิดได้เฉพาะที่ optic nerve
ข้างซ้ายเท่านั้น แต่ก็ไม่คิดถึง เนื่องจาก function อื่น
ๆ ของ optic nerve เช่น pupillary light reflex
ยังคงดีอยู่ (no RAPD)
และผู้ป่วยไม่มีปัญหาในการรับภาพสี
6. Toxic Optic Neuropathy
คิดถึงน้อยมาก
เนื่องจากไม่พบประวัติของการได้รับสารพิษที่ชัดเจน ไม่มีประวัติการเป็นโรควัณโรค
(ยา Ethambutol)
หรือโรคข้อแต่อย่างใด ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่มีประวัติการกินสารพิษใด ๆ
สรุป
คิดถึงภาวะ age-related cataract
มากที่สุดในผู้ป่วยรายนี้
โดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์
|